ข้อบังคับสมาคม
ข้อบังคับของสมาคมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงินไทย
หมวดที่ 1 ความทั่วไป
ข้อ 1 สมาคมนี้มีชื่อว่า “สมาคมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงินไทย” ย่อว่า “สนว” ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Thai Association of Quantitative Analysts and Financial Engineers” ย่อว่า “TQF”
ข้อ 2 เครื่องหมายของสมาคมมีลักษณะเป็นรูปตัวอักษรชื่อย่อภาษาอังกฤษของสมาคมเขียนว่า TQF ดังรูปนี้
ข้อ 3 สํานักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ณ อาคาร B ชั้น 5 เลขที่ 2547 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
ข้อ 4 วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ
4.1 เป็นศูนย์กลางเครือข่ายของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงิน และผู้ที่สนใจการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรมการเงิน ซึ่งอาจรวมถึงนักวิเคราะห์การเงิน นักลงทุน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และอื่น ๆ ให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน ตลอดจนเกิดการสร้างเครือข่ายนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงินทั้งภายในประเทศไทยและระหว่างประเทศ
4.2 ส่งเสริม พัฒนา และผลักดันมาตรฐานวิชาชีพของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงินในประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับทั้งในอุตสาหกรรมการเงินไทยและในระดับสากล
4.3 สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสายอาชีพนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและสายอาชีพวิศวกรการเงิน
4.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ที่สนใจการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรมการเงินได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
4.5 ไม่ดําเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด
ข้อ 5 สมาชิกของสมาคมมี 3 ประเภท คือ
5.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่ บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีสัญชาติไทยและได้ยื่นความจํานงขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยชําระค่าบํารุงสมาคมรายปีและคณะกรรมการลงมติอนุมัติเข้าเป็นสมาชิกสามัญ
5.1.1 สมาชิกสามัญ ประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่ บุคคลทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรมการเงิน
5.1.2 สมาชิกสามัญ ประเภทนิติบุคคล ได้แก่ สถาบันการศึกษา หน่วยงานของรัฐ เอกชน และบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนสมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้รับเป็นสมาชิก
5.2 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ บุคคลอื่นนอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 5.1 ที่ไม่สนใจเข้าร่วมในการเลือกตั้ง หรือรับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุม โดยชําระค่าบํารุงสมาคมรายปี ซึ่งประกอบไปด้วย
5.2.1 สมาชิกวิสามัญ ประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่ บุคคลทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรม การเงิน
5.2.2 สมาชิกวิสามัญ ประเภทนิติบุคคล ได้แก่สถาบันการศึกษา หน่วยงานของรัฐ เอกชน และบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนสมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้รับเป็นสมาชิก
5.2.3 สมาชิกวิสามัญ ประเภทนักเรียนนักศึกษา ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา นิสิตที่กําลังศึกษาในสถาบันการศึกษา และ มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรมการเงิน
5.2.4 สมาชิกวิสามัญ ประเภทผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ บุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องการวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรรมการเงินซึ่งได้ช่วยงานสมาคมในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการให้เข้าเป็นสมาชิก
5.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ (Honorary Members) ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีอุปการคุณแก่สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อ 6 สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้
6.1 กรณีเป็นบุคคลธรรมดา ต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว กรณีเป็นนิติบุคคล ต้องได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยถูกต้องตามกฎหมายไทย
6.2 เป็นผู้ทำงาน ศึกษา หรือมีความสนใจในสาขาการวิเคราะห์เชิงปริมาณและสาขาวิศวกรรมการเงิน
6.3 เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
6.4 ไม่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษ การต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าว จะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิก หรือในระหว่างที่เป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้น
ข้อ 7 ค่าบำรุงสมาคม
7.1 สมาชิกสามัญ
7.1.1 สมาชิกสามัญ ประเภทบุคคลทั่วไป 2,000 บาทต่อปี
7.1.2 สมาชิกสามัญ ประเภทนิติบุคคล 10,000 บาทต่อปี
7.2 สมาชิกวิสามัญ
7.2.1 สมาชิกวิสามัญ ประเภทบุคคลทั่วไป 1,000 บาทต่อปี
7.2.2 สมาชิกวิสามัญ ประเภทนิติบุคคล 5,000 บาทต่อปี
7.2.3 สมาชิกวิสามัญ ประเภทนักเรียนนักศึกษา 500 บาทต่อปี
7.2.4 สมาชิกวิสามัญ ประเภทผู้เชี่ยวชาญ ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
7.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
7.4 ค่าบำรุงสมาคมรายปีนั้น ครบกำหนดชำระภายในเดือนมกราคมของทุกปี โดยหากสมาชิกคนใดขาดชำระค่าบำรุงสมาคม ให้เป็นหน้าที่ของเลขาธิการสมาคมที่จะแจ้งให้สมาชิกทราบ โดยหากสมาชิกเริ่มเป็นสมาชิกระหว่างปี จะเรียกเก็บค่าบำรุงสมาคมโดยคำนวณตามสัดส่วนนับตั้งแต่วันที่สมาชิกลงทะเบียนจนถึงสิ้นปีปฏิทิน ทั้งนี้ นายกสมาคมมีอำนาจที่จะไม่เรียกเก็บค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิกประเภทสามัญตามที่นายกสมาคมเห็นสมควร
ข้อ 8 การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมยื่นใบสมัครตามแบบของสมาคมต่อเลขาธิการ เมื่อเลขาธิการได้รับใบสมัครแล้ว ให้ตรวจสอบคุณสมบัติก่อนเสนอและความถูกต้องก่อนเสนอต่อคณะกรรมการสมาคมพิจารณาในการประชุมคราวต่อไป หากเลขาธิการเห็นว่าไม่สมควรรับผู้ใดเข้าเป็นสมาชิก ให้แจ้งให้ผู้นั้นทราบโดยไม่ชักช้า และให้ผู้นั้นมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อนายกสมาคมภายในกำหนดเวลา 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำปฏิเสธ และให้นายกสมาคมนำเรื่องเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการในคราวต่อไป หรือไม่รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสมัครแล้ว ผลเป็นประการใด ให้เลขาธิการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว
ข้อ 9 ถ้าคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติให้ผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้นชำระเงินบำรุงสมาคมให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขาธิการ และสมาชิกภาพของผู้สมัครให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระเงินค่าบำรุงสมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงินค่าบำรุงภายในกำหนดก็ให้ถือว่าการสมัครคราวนั้นเป็นอันยกเลิก
ข้อ 10 สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญของผู้ที่คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงยังสมาคม
ข้อ 11 สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุดังต่อไปนี้
11.1 เสียชีวิตหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล
11.2 ลาออก โดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติ และสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ยังติดค้างอยู่กับสมาคมเป็นที่เรียบร้อย
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม หรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง เนื่องจากสมาชิกผู้นั้นได้ประพฤติหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี และภาพลักษณ์ของสมาคม และสายอาชีพนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและวิศวกรการเงิน
ข้อ 12 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์และเกียรติคุณของสมาคม และต้องสนับสนุนช่วยเหลือกิจกรรมของสมาคม ชำระค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการกำหนด
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมต่าง ๆ ได้ 1 คะแนนเสียงต่อสมาชิก
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด ร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมวิสามัญได้
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติและข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ข้อ 13 สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
13.1 สมาชิกสามัญประเภทบุคคลทั่วไปและนิติบุคคล ได้แก่
- ได้รับวารสาร TQF (ฉบับอิเล็กทรอนิกส์)
- ได้รับส่วนลดในการลงทะเบียนประชุมวิชาการและการลงทะเบียนอบรมต่าง ๆ ที่สมาคมจัดในราคาสมาชิก
- สามารถใช้ฐานข้อมูลของสมาคม เพื่อค้นหาผู้เชี่ยวชาญ แนะนำสมาชิกใหม่ และการส่งข่าวสารให้ผู้เชี่ยวชาญได้
- สามารถสมัครเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานต่าง ๆ ของสมาคม
- สมาชิกสามัญสามารถสมัครเป็นกรรมการสมาคม
13.2 สมาชิกสามัญ ประเภทนักเรียนนักศึกษา ได้แก่
- ได้รับวารสาร TQF (ฉบับอิเล็กทรอนิกส์)
- ได้รับส่วนลดในการลงทะเบียนประชุมวิชาการและการลงทะเบียนอบรมต่าง ๆ ที่สมาคมจัดในราคานักเรียนนักศึกษา
- สามารถใช้ฐานข้อมูลของสมาคม เพื่อการค้นหาผู้เชี่ยวชาญ แนะนำสมาชิกใหม่ และการส่งข่าวสารให้ผู้เชี่ยวชาญได้
- สามารถเข้ามาช่วยงานสมาคมในลักษณะต่าง ๆ
13.3 สมาชิกสามัญ ประเภทผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
- ได้รับวารสาร TQF (ฉบับอิเล็กทรอนิกส์)
- ได้รับส่วนลดในการลงทะเบียนประชุมวิชาการและการลงทะเบียนอบรมต่าง ๆ ที่สมาคมจัดในราคาสมาชิก
- สามารถใช้ฐานข้อมูลของสมาคมเพื่อการค้นหาผู้เชี่ยวชาญ แนะนำสมาชิกใหม่ และการส่งข่าวสารให้ผู้เชี่ยวชาญได้
- สามารถได้รับเชิญเป็นวิทยากรในงานประชุมวิชาการและงานอบรมต่าง ๆ
หมวดที่ 3 การดำเนินการสมาคม
ข้อ 14 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งทำหน้าที่บริหารกิจการของสมาคม มีจำนวนอย่างน้อย 7 คน อย่างมากไม่เกิน 15 คน คณะกรรมการนี้ต้องเป็นสมาชิกสามัญที่ได้มาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่เลือกกันเองเป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 4 คน สำหรับกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆ ให้นายกสมาคมเป็นผู้แต่งตั้งผู้ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ของสมาคมตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งตำแหน่งของกรรมการสมาคมมีตำแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังต่อไปนี้
14.1 นายกสมาคม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการและการประชุมใหญ่ของสมาคม
14.2 อุปนายก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคม ปฏิบัติตามหน้าที่ที่นายกสมาคมได้มอบหมายและทำหน้าที่แทนนายกสมาคม เมื่อนายกสมาคมไม่อยู่หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทนนายกสมาคมให้อุปนายกตามลำดับตำแหน่งเป็นผู้กระทำการแทน
14.3 เลขาธิการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสมาคมในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่งของนายกสมาคม ตลอดจนทำหน้าที่เป็นเลขาธิการในการประชุมต่าง ๆ ของสมาคม
14.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคม และเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
14.5 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
14.6 กรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนดให้มีขึ้น โดยเมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการอื่นแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้กำหนดตำแหน่งก็ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ข้อ 15 คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2 ปี นับตั้งแต่ได้รับการจดทะเบียน และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งครบกำหนดตามวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนจากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับการจดทะเบียนจากทางราชการ และเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ได้รับการจดทะเบียนจากทางราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่างคณะกรรมการชุดเก่าและคณะกรรมการชุดใหม่ให้เสร็จสิ้น ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับการจดทะเบียนจากทางราชการ
ข้อ 16 ตำแหน่งกรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระ ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งได้ตามวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น และถ้าเป็นตำแหน่งนายกสมาคมที่ว่างลง ก็ให้คณะกรรมการเลือกกันเองเป็นนายกสมาคม
ข้อ 17 กรรมการอาจพ้นจากตำแหน่งซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้
17.1 เสียชีวิตหรือสาบสูญตามคำสั่งของศาล
17.2 ลาออก
17.3 ขาดจากสมาชิกภาพตามข้อบังคับและตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้
17.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
17.5 ขาดประชุมคณะกรรมการ 3 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้นายกสมาคมทราบ
ข้อ 18 กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการ ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและคณะกรรมการมีมติให้ออก
ข้อ 19 อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
19.1 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ขัดต่อข้อบังคับฉบับนี้
19.2 มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
19.3 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
19.4 มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
19.5 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
19.6 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตลอดจนมีอำนาจอื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
19.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
19.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญจำนวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
19.9 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สินและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
19.10 จัดทำบันทึกการประชุมต่าง ๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
19.11 มีหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
ข้อ 20 คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 21 การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 22 ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 4 การประชุมใหญ่
ข้อ 23 การประชุมใหญ่ของสมาคมมี 2 ชนิด คือ
23.1 การประชุมใหญ่สามัญ
23.2 การประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 24 คณะกรรมการจะต้องจัดให้การประชุมใหญ่สามัญประจำปี ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี
ข้อ 25 การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นควรจัดให้มีขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการของสมาคมให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญก็ได้ ในหนังสือร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด
เมื่อคณะกรรมการของสมาคมได้รับหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญตามวรรคแรก ให้คณะกรรมการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญ โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ
ถ้าคณะกรรมการของสมาคมไม่เรียกประชุมภายในระยะเวลาตามวรรคสอง สมาชิกที่เป็นผู้ร้องขอ ให้เรียกประชุมหรือสมาชิกอื่นรวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าที่กำหนดตามวรรคแรกจะเรียกประชุมเองก็ได้
ข้อ 26 การแจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้เลขาธิการเป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกทราบ และการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุวัน เวลาและสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ทางอีเมล ตามที่อยู่อีเมลที่สมาชิกได้ระบุไว้ในทะเบียนสมาชิก ก่อนถึงกำหนดประชุมใหญ่
ข้อ 27 การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
27.1 แถลงกิจการที่ผ่านมารอบปี
27.2 แถลงบัญชีรายรับรายจ่ายและบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกทราบ
27.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกำหนดวาระ
27.4 เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
27.5 ตรวจสอบทะเบียนสมาชิกให้เป็นปัจจุบัน
27.6 เรื่องอื่น ๆ ถ้ามี
ข้อ 28 การประชุมใหญ่สามัญประจำปีหรือการประชุมใหญ่วิสามัญ ต้องมีสมาชิกสามัญมาประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่า 20 คน จึงจะครบองค์ประชุม หากถึงกำหนดเวลาการประชุมแล้วสมาชิกยังไม่ครบองค์ประชุม ถ้าการประชุมครั้งนั้นเป็นการประชุมใหญ่ตามคำเรียกร้องของสมาชิก ก็ให้งดการประชุม แต่ถ้าเป็นกรณีการประชุมใหญ่ที่คณะกรรมการสมาคมเป็นผู้เรียก ก็ให้เรียกประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันนัดประชุมครั้งแรก การประชุมครั้งหลังนี้ไม่บังคับว่าต้องครบองค์ประชุม
ข้อ 29 การลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 30 ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่เลือกกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมนั้น
หมวดที่ 5 การเงินและทรัพย์สิน
ข้อ 31 การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้นําฝากไว้ในธนาคารที่มีความมั่นคงในนามของสมาคม
ข้อ 32 การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทําการแทน ลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือเลขาธิการ จึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 33 ให้นายกสมาคมมีอํานาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) และรวมแล้วไม่เกิน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ต่อเดือน ถ้าจําเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ของ สมาคม
ข้อ 34 ให้เหรัญญิกมีอํานาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน) และรวมแล้วไม่เกิน 25,000 บาท (สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน) ต่อเดือนและให้เหรัญญิกมีอํานาจเก็บรักษาเงินสุดของสมาคมได้ไม่เกิน 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจํานวนนี้ จะต้องนําฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันที
ข้อ 35 เหรัญญิก จะต้องทําบัญชีรายรับรายจ่ายและบัญชีงบดุลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือจ่ายเงินทุกครั้งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทําการแทนร่วมกับเหรัญญิกหรือผู้ทําการแทน พร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 36 ผู้สอบบัญชี จะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต
ข้อ 37 ผู้สอบบัญชี มีอํานาจที่จะเรียกเอกสารเกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการและสามารถเชิญกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 38 คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชีเมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6 การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 39 ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้นและองค์ประชุมใหญ่จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือไม่น้อยกว่า 20 คน มติของที่ประชุมใหญ่ในการให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 40 การเลิกสมาคมจะเลิกได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคมจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด และองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
ข้อ 41 เมื่อสมาคมต้องเลิก ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากที่ได้ชําระบัญชี เป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ตกเป็นของนิติบุคคลในประเทศไทยที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะตามมติของที่ประชุมใหญ่
หมวดที่ 7 บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 42 การตีความข้อบังคับของสมาคม หากเป็นที่สงสัยให้ที่ประชุมใหญ่โดยเสียงข้างมากของที่ประชุมชี้ขาด
ข้อ 43 ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสมาคมมาใช้บังคับ เมื่อข้อบังคับของสมาคมมิได้กําหนดไว้ และหากมีข้อบังคับใดขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ให้ถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข้อ 44 สมาคมต้องไม่ดําเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคมเอง
หมวดที่ 8 บทเฉพาะกาล
ข้อ 45 ข้อบังคับฉบับนี้ ให้เริ่มใช้บังคับได้นับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
ข้อ 46 เมื่อสมาคมได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่มการทั้งหมดเป็นสมาชิกสามัญและสมาชิกภาพของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เริ่มตั้งแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป
ลงชื่อผู้จัดทําขอบังคับ
นายภัทร อภิวัฒนกุล
นายกสมาคม